|
|
|
ประมาณ
255 ปีก่อนคริสต์กาล ในภูมิภาคแถบเอเชียตอนกลาง และจีน ได้รู้จักการแกะสลักดวงตราบนแผ่นหิน
กระดูกสัตว์และงาช้าง เพื่อใช้ประทับลงบนดินเหนียว บนขี้ผึ้งซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
เป็นต้นตอของแม่พิมพ์เลตเตอร์เพรส์ส(Letter press)โดยจะเห็นได้จากพงศาวดารจีนโบราณองค์จักรพรรดิ
จะมีตราหยกเป็นตราประจำแผ่นดิน
ค.ศ. 105 ชาวจีน ชื่อ ไซลั่น คิดวิธีทำกระดาษขึ้นมาได้
และได้กลายเป็นวัสดุสำคัญสำหรับการเขียน และการพิมพ์ในเวลาต่อมา
ค.ศ. 175 ได้มีการใช้เทคนิคพิมพ์ถู (Rubbing) ขึ้นในประเทศจีน โดยมีการแกะสลักวิชาความรู้ไว้บนแผ่นหิน
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้นำกระดาษมาวางทาบบนแผ่นหินแล้วใช้ถ่านหรือสีทาลงบนกระดาษ
สีก็ติดบนกระดาษในส่วนที่หินนูนขึ้นมา เทคนิคนี้ดูจะเหมือนกับการถู ลอกภาพรามเกียรติ์ที่แกะสลักบนแผ่นหินอ่อนที่วัดโพธิ์
ในทุกวันนี้ (กำธร สถิรกุล, 2515 : 185)
ในปี ค.ศ. 400 ชาวจีนรู้จักการทำหมึกแท่งขึ้นใช้
โดยใช้เม่าไฟเป็นเนื้อสี (Pingment) ผสมกาวเคี่ยวจากกระดูกสัตว์ หนังสัตว์
และเขาสัตว์ เป็นตัวยืด (Binder) แล้วทำให้แข็งเป็นแท่ง ชาวจีนเรียกว่า
"บั๊ก" ต่อมาในราวปี ค.ศ. 450 การพิมพ์ด้วยหมึกบนกระดาษจึงเกิดขึ้นโดยใช้ตราจิ้มหมึก
แล้วตีลงบนกระดาษ เช่นเดียวกับการประทับตรายางในปัจจุบัน (วัลลภ สวัสดิวัลลภ,
2527 : 82)
|
|
|
|
สำหรับชิ้นงานพิมพ์ซึ่งเก่าแก่ที่สุด
และยังคงหลงเหลืออยู่ได้แก่การพิมพ์โดยจักรพรรดินีโชโตกุ (Shotoku) แห่งประเทศญี่ปุ่น
ในราว ค.ศ. 770 โดยพระองค์รับสั่งให้จัดพิมพ์คำสวดปัดรังควานขับไล่วิญญาณ
หรือผีร้ายให้พ้นจากประเทศญี่ปุ่น และแจกจ่ายไปตามวัดทั่วอาณาจักรญี่ปุ่น
เป็นจำนวนถึงหนึ่งล้านแผ่น ซึ่งต้องใช้เวลาตีพิมพ์ เป็นเวลาถึง 6 ปี
(สนั่น ปัทมะทิน, 2513 : 121)
จีนนิยมใช้เทคนิคการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะไม้
และพัฒนาขึ้นตามลำดับ ในปี ค.ศ. 868 ได้มีการพิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรกมีลักษณะเป็นม้วน
มีความยาว 17 ฟุต กว้าง 10 นิ้ว โดยวาง เซียะ (Wang Chieh) ซึ่งยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบันหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า
วัชรสูตร (Diamond Sutra) (กำธร สถิรกุล, 2515 : 187)
|
ประมาณปี ค.ศ. 1041-1049 การพิมพ์แบบแม่พิมพ์นูนได้เปลี่ยนแปลงวิธีการจากเดิมที่ใช้การแกะไม้เป็นแม่พิมพ์
(เรียกว่า Block) แม่พิมพ์ดังกล่าวสามารถพิมพ์ได้เพียงรูปแบบเดียว มาเป็นการใช้แม่พิมพ์ชนิดที่หล่อขึ้นเป็นตัว
ๆ และนำมาเรียงให้เป็นคำเป็นประโยค ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า "ตัวเรียงพิมพ์
(Movable Pype) เมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว จะสามารถนำกลับไปเก็บ และสามารถนำมาผสมคำใหม่ในการพิมพ์ครั้งต่อ
ๆ ไปได้ ผู้ที่ค้นพบวิธีการใหม่นี้เป็นชาวจีน ชื่อ ไป เซ็ง (Pi Sheng)
โดยใช้ดินเหนียวปั้นให้แห้ง แล้วนำไปเผาไฟ
การสร้างตัวเรียงพิมพ์โลหะ เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศเกาหลีเมื่อประมาณปี
ค.ศ. 1241 ได้มีการหล่อตัวพิมพ์โลหะขึ้นเป็นจำนวนมากตามดำริของกษัตริย์ไทจง
(Htai Tjong) (Lechene, 1974 : 1053
วิวัฒนาการด้านการพิมพ์ของชาวตะวันออก (จีน
เกาหลี และญี่ปุ่น) นั้น แม้ว่าจะได้เป็นผู้บุกเบิกการพิมพ์เป็นครั้งแรก
แต่ก็ไม่ได้พัฒนาการพิมพ์หนังสือให้เจริญจนถึงขีดสูงสุด (แต่กลับมีความเจริญด้านศิลปะภาพพิมพ์ไม้ในประเทศญี่ปุ่นในยุคหลัง)
ซึ่งอาจจะเกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ดังนี้
|
|
|
|
การพิมพ์ของจีน
ได้กระทำในวงแคบเนื่องจากมีผู้รู้หนังสือน้อย |
เพราะมีภาษาที่ใช้แตกต่างกันหลายแบบในแต่ละภูมิภาค |
|
|
|
|
|
ตัวอักษรจีนเป็นอักษรประเภทหนังสือภาพ (Pictograph) |
หมายถึงคำพูดหนึ่งคำ
ก็ต้องมีตัวอักษรหนึ่งตัว จึงปรากฏว่า มีตัวอักษรเป็นจำนวนมากนับพันตัว
ไม่สะดวกต่อการใช้ตัว เรียงพิมพ์แต่เหมาะที่จะใช้การแกะแม่พิมพ์ไม้ หรือการกัดบล็อก
ซึ่งสิ้นเปลืองเวลาและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง |
|
|
|
|
|
วัตถุประสงค์
แห่งการพิมพ์ของชาวจีน มิได้เป็นการขยายตัว |
หรือเผยแพร่วิทยาการเหมือนกับประเทศทางตะวันตก
แต่เป็นการพิมพ์เพื่ออนุรักษ์ คัมภีร์ หรือบทกวีเอาไว้เท่านั้น |
|
|
|
ดังนั้น
พัฒนาการด้านการพิมพ์ที่ขยายตัวมากยิ่งขึ้นจึงกลับไปปรากฏทางประเทศตะวันตกและมีวิวัฒนาการสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
|
|
|
|
|
|
|
|